รีวิวการเรียน Marine Biology — James Cook University (JCU), Australia
ผ่านไปแล้วครึ่งปีกับการมาเรียนต่อ ดีใจกับการตัดสินใจของตัวเองในช่วงปีที่แล้วมากจริงๆ อยากเขียนเก็บไว้ ทั้งให้ตัวเองอ่าน และแบ่งปันให้หลายๆคนที่สนใจ เผื่อจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์บ้าง
— สิ่งที่จะเล่าก็คงจะไม่พ้นเรื่องประสบการณ์ การเรียน มหาลัย ความเป็นอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะมีอะไรที่ลืมไปบ้างเพราะไม่ได้ดราฟไว้ เขียนสดเลย
Background สั้นๆ เผื่อเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
เราเรียนวิทยาศาสตร์ทางทะเลมา จบมาก็ทำงานเป็นครูสอนดำน้ำเชิงอนุรักษ์ เป็นไดฟ์หลีด จัดทริปดำน้ำที่ให้ความรู้ แล้วก็มี job ยิบย่อย ทำมาได้ปีกว่าๆ ก็ตัดสินใจที่จะเรียนต่อ
เราตั้งใจจะเรียนต่อตั้งใจช่วงที่อยู่มหาวิทยาลัยแล้ว และเล็งทุน Fulbright เอาไว้ สุดท้ายก็ได้ลองสมัคร (เราเล็ง University of Hawaiʻi เอาไว้เพราะเคยไปแลกเปลี่ยนที่นั่นแล้วชอบ กับ Scripps เพราะโปรแกรมน่าสนใจ) แต่ในเวลาเดียวกันก็มีทุนใหม่จากรัฐบาลออสเตรเลียเปิดรับ เราเองที่อยากมาเรียนที่ James Cook University อยู่แล้วก็เลยไม่พลาดที่จะสมัครไปด้วย
สุดท้ายหลังจากประกาศผล เราเองตัดสินใจอย่างลังเลเล็กน้อย รักพี่เสียดายน้อง 5555 หลังจากคุยกับหลายๆคนก็ทำให้เราตัดสินใจเลือก JCU, Australia —
ทำไมต้อง James Cook University (JCU)?
สำหรับเรา Great Barrier Reef เป็นแนวปะการังในฝันที่อยากมา และไม่ใช่แค่มาเที่ยว แต่มาเรียนมาศึกษา บวกกับเคยเห็นรุ่นพี่ศิษย์เก่าคนไทยที่เคยมาเรียนที่นี่บ้าง ก็เลยคิดว่าโอเค ที่นี่แหละน่าสนใจ
มหาวิทยาลัยทั่วโลกที่สอนด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลมีหลากหลายมหาลัยมาก แต่ละที่ก็จะมีด้านที่เด่นๆแตกต่างกัน ส่วนตัวเราเลือกที่นี่เพราะเค้ามีเรื่องของปะการังที่เด่น มี research station ที่ GBR ของตัวเอง และมีเครื่องไม้เครื่องมือที่จัดว่าพร้อมและครบครัน
ก่อนมาก็ได้มีการดูหลักสูตร Master ที่เราเลือกจะเป็น by coursework — ซึ่งก็คือในปีแรกจะเรียน และปีที่สองสามารถเลือกได้ว่าอยากทำ placement (ฝึกงาน) หรือทำ research และในปีแรกที่เป็นการเรียนเราก็ต้องเลือก stream ว่าอยากเรียนด้านอะไร มีทั้งหมด 4 streams ( coral reefs, genetics, fisheries, and conservation) วิชาที่เรียนก็จะแตกต่างกันไป
รีวิว campus — Bebegu Yumba, TSV
เขียว… คำแรกที่ผุดขึ้นมาตอนมาถึง มันธรรมชาติมาก เดินไปสามารถพบเจอกับสิ่งมีชีวิตร่วมโลกต่างๆได้เรื่อยๆ (วอลลาบีและนกต่างชนิด) พื้นที่ทั้งหมดคือกว้างมาก ตึกอาคารมีทั้งเก่าทั้งใหม่ปนกันไป แต่มีการรีโนเวทเรื่อยๆ
สิ่งที่ไม่คุ้นชินสำหรับเราคือ ปกติแล้วคณะสายวิทย์ตอนที่เราเรียน ตึกจะค่อนข้างเก่า ห้องสมุดก็แอบเศร้าหน่อยๆเพราะงบมาไม่ค่อยเยอะ แต่ที่นี่คือมันใหม่นะ ห้องสมุดมีที่เพียงพอให้นักเรียนนั่งทำงาน อ่านหนังสือ ตึกเรียนมีห้องแลปก็ใหม่สะอาดและปลอดโปร่ง ชอบ แถมแอบเหมือนสวนสัตว์เพราะมีอวาเรียมเล็กๆ และน้องสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่ภายใต้ความดูแลของคณะสัตวแพทย์มาจัดแสดงโชว์ด้วย
ที่นี่มี support สำหรับนักเรียนเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องการให้คำปรึกษาทางการเรียน การวางแผนการเรียน การทำงาน วางแผนชีวิตหรือทางด้านจิตใจ ให้ความยืดหยุ่นกับทั้งนักเรียนและผู้สอน
เรียนยากมั้ย? เรียนหนักรึเปล่า? เรียนอะไรบ้าง?
เรียนไม่ยากมากขึ้นอยู่กับวิชา เรียนไม่หนักมาก — อย่างเทอมแรกเราลงทั้งหมด 4 วิชา ซึ่งถือว่าเป็น maximum ของการลงทะเบียนเรียน ก็ยังพอมีเวลาใช้ชีวิต แต่ที่หนักจะเป็นพวกงาน assignment ต่างๆซะมากกว่า
เรียนอะไรบ้าง — อันนี้ขึ้นอยู่กับเราเลือก อย่างเราเองมีวิชา Modelling ecological dynamics ก็จะเกี่ยวกับการ model กลุ่มประชากร ซึ่งใช้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ผสมกับความเข้าใจทางนิเวศเล็กน้อย และการเขียน code ในโปรแกรม MATLAB วิชาในสายปะการังที่เราเลือกเรียนคือ Life History and Evolution of Reef Corals สนุก มากกกกกก เป็นวิชาโปรดไปแล้ว
การเรียนในวิชานึงจะประกอบไปด้วย seminar (lecture) และอาจะมี tutorial (อารมณ์เหมือนทำกิจกรรม discussion) workshop (lab) field trip และรูปแบบอื่นๆแตกต่างกันไป ซึ่งส่วนตัวเราชอบที่ lecture ไม่ได้เยอะเกินไป และช่วงที่ทำกิจกรรมช่วยให้เข้าใจและเห็นภาพได้มากขึ้น เช่นปกติที่เรียนวิชาเกี่ยวกับการจัดการชายฝั่ง เมื่อได้ลองทำกิจกรรม ลองใช้เครื่องมือการจัดการในสถานการณ์จำลองก็ทำให้ได้ไอเดียชัดขึ้น
note: แลปสำหรับวิชาปะการังสนุกมาก อยากเขียนรีวิวแยกสำหรับวิชานี้เลยจริงๆ ครบรส มีทั้งการออกฟีลด์เพื่อเก็บข้อมูลมาทำโปรเจคของตัวเอง ผ่าเนื้อเยื่อปะการัง ดูการแบ่งตัวของไข้ที่ผสมแล้ว ใช้เครื่องมือเจ๋งๆ (มันไม่ได้เจ๋งขนาดนั้นหรอก แค่เราไม่เคยได้ใช้55)
note: การดำน้ำของที่ JCU เคร่งมากๆ ขั้นต่ำจะต้องเป็น Rescue จาก SSI/PADI และมีชั่วโมงการดำน้ำไม่ต่ำกว่า 40 ชั่วโมง ต้องทำหลาย Trainings และตรวจร่างกายสำหรับดำน้ำทุกปี ใช้เงินเยอะมากในการลงทะเบียนเพื่อให้สามารถดำ SCUBA diving ของมหาวิทยาลัยได้
นอกจากการเรียนแล้ว —
เราชอบที่มีโอกาสให้เราสามารถเข้าถึงบุคคลที่เจ๋งๆได้จากการที่มี seminar เรื่อยๆและมีส่วนร่วมในการทำงานอาสาสมัครด้านต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับทะเลโดยตรง หรือว่ากิจกรรมต่างๆที่จัดโดยนักเรียนเองก็ตาม หรือจัดโดย JCU (e.g. International Cafe, Live music, กิจกรรมคลายเครียดช่วงสอบ) นักเรียนที่นี่ส่วนมากค่อนข้าง active มากกับการทำกิจกรรม และ ambitious มากๆจนเราตกใจว่าเอาพลังมากจากไหน 5555
ส่วนตัวเราเองได้มีโอกาสทำงานอาสาในช่วงเทอมแรกบ้าง เรามีโอกาสไปช่วยดำน้ำเก็บข้อมูลเกี่ยวกับฉลามที่ Moore reef, GBR นานกว่าสิบวัน! ตอนนี้กำลังจะเริ่มทำงานอาสาในห้องเก็บ coral holotype ของพิพิธภัณฑ์ Museum of Tropical Queensland ซึ่งเราเข้าไปเห็นครั้งแรกแล้วประทับใจแทบจะร้องไห้เลย เพราะชิ้นส่วนปะการังต้นแบบที่ใช้ในการ describe species อยู่ที่นี่เยอะมาก ล้ำค่า
ชีวิตความเป็นอยู่ทั่วไปใน Townsville
เมื่อบอกคนว่าไปเรียนที่ออสเตรเลีย เกือบทุกคนก็จะถามว่าไปเมืองไหน และเมื่อเราตอบว่า “Townsville” 99.99% ก็จะไม่รู้จัก ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะเอาจริงก่อนที่เราจะมา เราก็ไม่ค่อยมีไอเดียเหมือนกันว่ามันเป็นยังไง
แน่นอนว่าไม่ใช่เมืองแบบ Melbourne Sydeney หรือ Brisbane แน่ๆ อยู่ที่นี่ให้อารมณ์เหมือนอยู่ชนบท ซึ่งก็เงียบสงบและติดกับธรรมชาติดี เอาจริงๆถ้าไม่บอกก็คงนึกว่ายังอยู่เมืองไทย เพราะอากาศก็ค่อนข้างใกล้เคียง ยกเว้นหน้าหนาวยังพอมีลมหนาวมาให้ชื่นใจบ้างราวๆเดือนสองเดือน
เราเองไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับเมืองนี้มาก่อน (ทำการบ้านมาไม่ดีในส่วนนี้) และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มาออสเตรเลียเลย ในภาพฝันก่อนมายังคงคิดว่าจะเป็นชีวิตเหมือนตอนที่อยู่ O‘ahu, Hawaiʻi ตกเย็นเล่นเซิร์ฟ น้ำใสๆ วันว่างก็ขึ้นไป North shore snorkeling ได้โดยตรงเลย — แต่ไม่ใช่ค่ะ คลื่นไม่ได้ใหญ่พอให้เซิร์ฟ น้ำทะเลจาก mainland ให้อารมณ์เหมือนอยู่แถบหัวหิน 55555 เดินทางค่อนข้างลำบากเพราะรถเมล์ไม่ได้เข้าถึงทุกที่ และมีไม่ได้บ่อยมาก รถส่วนตัวกับจักรยานเลยเป็นทางเลือกของคนส่วนใหญ่
สิ่งที่เรานับว่าเป็น culture shock เล็กๆก็คือทุกอย่างปิดไวมาก ร้านค้า ร้านอาหาร ห้าง เราคิดว่าคนที่นี่ไม่ค่อยใช้ชีวิตตอนกลางคืนกัน แต่อาจจะเพราะเราคุ้นชินกับการอยู่กรุงเทพที่แทบทุกอย่างหาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็เลยรู้สึกว่าต้องปรับตัวเยอะในแง่ของเวลาการใช้ชีวิต
แต่สิ่งที่เราชอบที่สุด คือ
1) รถไม่ติด ไม่เสียเวลาชีวิตเลย ใช้เวลาเดินทางน้อยมากๆในแต่ละวัน
2) อยู่ใกล้ธรรมชาติมาก วิวภูเขามันฮีลใจได้จริงๆ ขับรถไปเที่ยวภูเขา ไปปีนเขา ไปเล่นน้ำตก ได้ในระยะเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง ถ้าอยากไปเที่ยวทะเล ดำน้ำ ก็ขับรถเพื่อข้ามไป Magnetic island ได้ใน 20 นาที
3) สิ่งมีชีวิตเยอะ นกเยอะ ชอบการได้ยินเสียงนก ชอบดูวอลลาบี hang out กัน ชอบดูแมลงเจ๋งๆตามต้นไม้
4) คุณภาพชีวิตดีนะ ชอบปั่นจักรยานแล้วดูวิวข้างทาง ชอบสวนสาธารณะ ชอบที่มีชายหาดให้เดิน
5) พี่ป้าน้าอาคนไทยใจดี ไม่ได้มีเยอะมาก แต่ก็ยังมี ซัพพอร์ตดี เหมือนมีครอบครัวอยู่ที่นี่ด้วยเลย
โดยรวมก็อยู่ได้ อาจจะไม่ได้สะดวกสบายเท่าเมืองใหญ่ๆ แต่ก็แลกมาด้วยความสงบ ธรรมชาติ ค่าครองชีพที่ต่ำกว่า และรถไม่ติด
note: ค่าใช้จ่ายของเราอยู่ที่ประมาณ 400 เหรียญต่ออาทิตย์ อาหารการกินก็ไม่ได้ต่างจากเมืองไทยมาก ผักผลไม้และวัตถุดิบต่างๆหาง่าย และราคาถูก แต่ร้านอาหารไม่ได้เยอะมาก (ไม่เหมือนตอนเราไป Cairns เรากินแบบมีความสุขมาก5555)
ทิ้งท้าย —
ชีวิตสนุก เขียนออกมาได้ไม่หมด มีหลายอย่างมากๆที่อยากรีวิว (แต่เป็นคนเขียนไม่ค่อยเก่ง พอจะเขียนทีก็กังวลทีว่าคนจะรู้เรื่องมั้ย พอต้องมาดราฟมาแก้ก็หมดพลัง เพราะฉะนั้นมันเลยต้องสดๆอย่างนี้แหละ)
ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีโมเม้นฝันเป็นจริงเยอะมาก แล้วก็มีโมเม้นแบบโดนความจริงฟาดหน้าเยอะมาก และก็มีโมเม้นแบบ self doubt เยอะมาก หลายครั้งที่คิดว่า figured life out ได้แล้ว แต่มันก็จะวนลูปมาอีกว่า เอ๊ะ…หรือว่าไม่นะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดีใจกับการตัดสินใจมาเรียนที่นี่มาก ทุนซัพพอร์ตดีมาก staff JCU น่ารักและพร้อมซัพพอร์ตนักเรียนแบบสุดๆ
กดดัน ร้องไห้ break down ไปหลายรอบ กอบกู้ตัวเองขึ้นมาได้ด้วยพลังใจจากคนรอบข้าง ขอบคุณครอบครัว ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆและทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาให้กำลังใจกัน ไม่มีธันวาแล้วชีวิตยากขึ้นนิดหน่อย55555
ขอบคุณทุกคนที่เคยให้คำปรึกษาพลอยก่อนมา และมีส่วนทำให้เราตัดสินใจเลือกทางนี้ ขอบคุณทุกคนที่ซัพพอร์ตให้เรามาอยู่ตรงนี้ได้ค่า ❤ :)